Search

หลักการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of powers)
  • Share this:

หลักการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of powers)

ความมุ่งหมายแท้จริงของหลักการแบ่งแยกอำนาจจึงควรเป็นการกระจายหน้าที่ตามความสามารถเฉพาะด้านและดูแลให้เกิดการคานและดุลกัน (Check and Balance) เพื่อมิให้เกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบกล่าวคือ
1. อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ ในการจัดทำกฎหมายถ้าเป็นระบบการปกครองแบบรัฐสภา ร่างกฎหมายส่วนใหญ่จะเสนอโดยรัฐบาล (ฝ่ายบริหาร) และรัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) จะเป็นผู้พิจารณาต่อไปว่าจะรับหรือไม่ ถ้าเป็นระบบการปกครองแบบประธานาธิบดีการจัดทำกฎหมายเป็นการริเริ่มโดยรัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) แต่การประกาศให้บังคับกฎหมายต้องให้ประธานาธิบดีลงนาม ซึ่งประธานาธิบดีอาจใช้สิทธิยับยั้ง ไม่ยอมลงนามให้ใช้เป็นกฎหมาย เว้นแต่รัฐสภาจะยืนยันโดยมติพิเศษจำนวนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกสภา เป็นต้น ดังนั้น จะต้องมีการตรากฎหมายปกครองโดยฝ่ายนิติบัญญัติขึ้นมามอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารใช้กฎหมายปกครอง
2. อำนาจบริหาร อำนาจบริหารเป็นอำนาจของรัฐบาลฝ่ายบริหารการใช้อำนาจตามกฎหมาย 2 ลักษณะ คือ
1) การใช้อำนาจบริหารกระทำในฐานะทางการเมืองโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญเป็นหลัก
2) กระทำในฐานะฝ่ายปกครองโดยอาศัยอำนาจกฎหมายปกครองเป็นหลัก
ซึ่งจะการกระทำดังกล่าวจะกระทำเกินขอบเขตของกฎหมายให้อำนาจไว้ไม่ได้ ดังนั้นการใช้อำนาจของฝ่ายปกครองนั้นต้องมีกฎหมายให้อำนาจถึงจะกระทำได้และต้องกระทำภายในขอบเขตของกฎหมายให้อำนาจนั้นโดยต้องไม่เป็นการกระทำกระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ดังนั้นกฎหมายปกครองจึงเป็นกฎหมายที่วางหลักอยู่บนพื้นฐานภายใต้หลักนิติรัฐที่กำหนดให้ฝ่ายปกครองต้องกระทำการใดๆต้องมีกฎหมายให้อำนาจและต้องกระทำอยู่บนหลักสมควรแก่เหตุ หลักความได้สัดส่วนและหลักความเสมอ
3. อำนาจตุลาการ อำนาจตุลาการเป็นอำนาจที่ทุกคนเห็นตรงกันว่าต้องใช้โดยบุคคลที่มีความเป็นกลางและต้องมีความเป็นอิสระเพื่อค้ำประกันความเป็นกลางนั้นด้วย อำนาจวินิจฉัยคดี มอบหมายให้ศาล (ฝ่ายตุลาการ) เป็นผู้ใช้อำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีข้อพิพาทในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการใช้อำนาจทางนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร อ้างใน ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ “กฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง” (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จีรัชการพิมพ์,2539) หน้า 339-342
ดังนั้นอำนาจตุลาการมีอาจควบคุมการกระทำทางปกครองของฝ่ายบริหารในฐานะฝ่ายปกครองมิให้กระทำทางปกครองเกินขอบเขตของกฎหมายที่ให้อำนาจหรือภายในขอบเขตของกฎหมายแต่ก็ทำให้ประชาชนเดือดร้อนเสียหายจากการกระทำทางปกครอง
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัตินั้นเป็นการยากที่จะแยกอำนาจอธิปไตยออกจากกันอย่างเด็ดขาด การจะพิจารณาว่าการกระทำขององค์กร 1 ใน 3 นี้ องค์กรใดขัดหรือฝ่าฝืนต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers) หรือไม่เพียงใด จึงพิจารณาเพียงว่าการกระทำนั้นๆจะต้องไม่กระทบแก่นของหลักการแบ่งแยกอำนาจ ซึ่งอาจพิจารณาได้จากหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
1. ดูจากเจตนาว่าการกระทำนั้นๆว่าจะต้องไม่มีเจตนาร้ายที่จะขัดขวางการใช้อำนาจขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง
2. ดูจากผลของการกระทำนั้นๆว่าจะต้องไม่ส่งผลรุนแรงถึงขนาดที่ทำให้อำนาจอื่นไม่สามารถดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดได้
3. ดูจากปริมาณของกรณีที่ถูกกระทบว่าจะต้องไม่ก้าวก่ายเข้าไปในอำนาจอื่นหลายครั้ง หากเป็นกรณีครั้ง 2 ครั้งและไม่เข้าข่าย ข้อ (1) และ (2) ก็อาจพออนุโลม
(อ้างใน สิทธิกร ศักดิ์แสง “ศาลเป็นผู้สร้างหลักกฎหมายได้หรือไม่ในระบบกฎหมายไทย” วารสารกฎหมายใหม่ ปีที่ 5 ฉบับที่ 83 พฤษภาคม 2550 หน้า 52)


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts